ภาพยนตร์สารคดีนอกกระแสที่อยากชวนให้ไปดูกันกับเรื่อง เอวัง (2014) So Be It เป็นผลงานการกำกับของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ 2 เด็กชาย ที่มีพื้นฐานชีวิตแตกต่างกัน หนึ่งคือ “วิลเลียม” ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน และอีกหนึ่งคือ “บัณฑิต” เด็กชาวม้ง กับเส้นทางชีวิตที่ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับศาสนาพุทธของทั้งคู่ที่ไม่เหมือนกัน
So Be It เรื่องราว ชีวิตของเด็กชายสองคนนี้น่าสนใจมาก เพราะในขณะที่อีกคนวิ่งเข้าหาพุทธศาสนา อีกคนกลับถูกบีบให้จนมุม ภาพที่ออกมาบนจอทำให้เห็นความแตกต่างค่อนข้างชัดว่าแต่ละคนมีทัศนคติอย่างไรกับ ‘ศาสนาประจำชาติ’ โดยสะท้อนผ่านมุมมองของผ้าขาว ซึ่งเผชิญข้อจำกัดทางชีวิตไม่มากนักเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งคู่ก็ถูกกรอบบางอย่างครอบงำอยู่ดี เอาเข้าจริงก็ไม่รู้หรอกว่า ‘วิลเลียม’ สนใจพุทธศาสนาเพราะอะไรจนถึงขั้นบอกกับครอบครัวว่า ‘อยากบวชตลอดชีวิต’ หรือภาพศาสนาพุทธ พระสงฆ์ และพระพุทธเจ้าที่เขาเข้าใจเป็นอย่างไร จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหรือเด็กน้อยคนนี้จะคิดว่าการบวชจะเป็นเพียงหนทางที่จะได้ใช้ชีวิตสบาย วันๆ ไม่ต้องทำอะไร มีที่อยู่ มีของกิน ไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินหรือสุงสิงกับใครมากนัก ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ‘วิลเลียม’ ก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่สนใจศาสนา เราไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะเปลี่ยนความสนใจไปในอนาคตหรือเปล่า แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ เด็กน้อยวัยแปดขวบคนนี้ได้ถูกสถาปนาให้เป็นตัวแทนของเด็กดีผู้ฝักใฝ่พุทธศาสนาไปเสียแล้ว ท่ามกลางเสียงชื่นชมของคนทั่วไป เขาได้เป็นผู้นำสวดมนต์ ได้รับเลือกให้ตอบคำถามที่คนในห้องคงตอบไม่ได้ มีแฟนคลับมากมายทั่วประเทศ ก็ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงหนึ่งเดือนจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของคนได้ขนาดนี้ นอกจากนั้นพาร์ท ‘วิลเลียม’ ยังทำให้ตั้งคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับการเรียนการสอนศาสนาในไทยที่ดูเหมือนจะทำได้แค่เปลือกนอก โดยปราศจากแก่นและความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งหวังจะผลิต ‘พุทธศาสนิกชนแบบสำเร็จรูป’ ออกมาเท่านั้น